LRT คืออะไร และสำคัญอย่างไรกับการทำ Live Streaming ในปัจจุบัน

LRT คืออะไร และสำคัญอย่างไรกับการทำ Live Streaming ในปัจจุบัน

    ในปัจจุบันการถ่ายทอดสดงาน Event ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นงาน Event เปิดตัวสินค้า หรืองานประชุมสัมมนา หรืองานถ่ายทอดสดกีฬาทั้ง Indoor หรือ Outdoor แม้กระทั่งงานกีฬาที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล สัญญาณไม่เสถียร ก็ยังสามารถถ่ายทอดสดออกมาให้ได้ทุกคนได้รับชมกัน ดังนั้นการถ่ายทอดสด จึงได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในทุกอุตสาหกรรม เพราะไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน ก็สามารถรับชมภาพบรรยากาศของงานนั้นๆ ได้โดยที่ไม่ต้องมาร่วมงาน ถึงแม้ในปัจจุบันการถ่ายทอดสดจะพัฒนาไปใกลจนถึงระดับ 1080P 2k 4k แต่เบื้องหลังจริงๆจะมีใครรู้บ้างว่าการจะถ่ายทอดสดในหนึ่งงานที่เราได้ชมกันนั้น จะต้องใช้อุปกรณ์หรือเทคโนโลยีอะไรบ้างในการส่งภาพและเสียง ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ LRT หรือ LiveU Reliable Transport ในบทความนี้ No More Work เราจะพามาทำความรู้จักกับ LRT ว่าคืออะไร และสำคัญอย่างไรกับการทำ Live Streaming  ในปัจจุบันกันครับ

LRT คืออะไร

    LRT ย่อมาจาก LiveU Reliable Transport  เป็นโปรโตคอลการส่งวิดีโอและเสียงที่พัฒนาโดย LiveU รองรับการส่งผ่านวิดีโอและเสียงที่มีความหน่วงต่ำ Low Latency มีความยืดหยุ่นสูง และถูกสร้างขึ้นใหม่ทั้งหมดเพื่อรองรับคุณสมบัติพิเศษของเซลลูล่าร์ 4G/5G รวมถึงเครือข่ายไร้สายและแบบใช้สายแบบดั้งเดิม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง LRT  ได้รับการปรับให้เหมาะสมเพื่อรองรับการเชื่อมต่อการเชื่อมต่อ IP หลายรายการ ยกตัวอย่างเช่น อินเตอร์เน็ตซิมการ์ด4G หรือ 5G , WIFI ,  สาย LAN หรือ Internet Connection 

LRT คืออะไร และสำคัญอย่างไรกับการทำ Live Streaming ในปัจจุบัน

หลักการทำงานของ LRT และ ความเสถียรของ LRT ในปัจจุบัน

    LRT คือหนึ่งในเทคโนโลยีของ LiveU หลักการทำงานคือการ Bonding หรือ การรวมสัญญาณอินเตอร์เน็ต หลายช่องทางการสื่อสาร ยกตัวอย่างเช่น WIFI , สาย LAN  , ซิมการ์ด ไม่ว่าจะ 4G หรือ 5G หรือ Internet Connection ระบบอินเตอร์เน็ต ตัวอื่นๆก็ตามแต่ ทั้งหมดนี้รวมกันเข้าไปที่ตัว Live U ซึ่งระบบหลังบ้านของ LiveU จะใช้ระบบ  LRT ในการส่งภาพและเสียงออกไปที่ Cloud หรือระบบ Server แล้วก็ส่งต่อสัญญาณภาพและเสียง ไปเป็น RTMP หรือว่า SRT แล้วก็ส่งไปยัง Facebook , Youtube หรือ channel ไหนก็ตามที่เราต้องการจะกระจายภาพ ซึ่งในตัว LiveU เองจะมีอินเตอร์เน็ตมาจากทั้ง LAN , Wifi ,ซิมการ์ด จะกี่ซิมการ์ด 1 2 3 4 ซิมก็แล้วแต่ครับ

ความเสถียรของ LRT ในปัจจุบัน

    สำหรับความเสถียรของ  LRT   ในปัจจุบัน หากพูดถึงในมุมมองของคนทำงานสาย Production นั้น LRT คือไม่ทำให้ผิดหวังครับ ถ้าให้ตีเป็นเปอร์เซ็นก็คือ 99.99% เพราะว่า สามารถรองรับสัญญาณได้ถึง 4 ตัว ถ้าหากมีสัญญาณตัวใดตัวหนึ่งหลุดไป ตัวที่เหลือก็จะดันคุณภาพการส่งขึ้นมาแทน ทำให้งานนั้นดำเดินต่อไปได้ครับ

LRT คืออะไร และสำคัญอย่างไรกับการทำ Live Streaming ในปัจจุบัน

ข้อดีของ LRT

    สำหรับข้อดีของ LRT เลยก็คือหากเราส่งสัญญาณไปทั้งหมด 4 ตัว แต่อยู่ๆสัญญาณอินเตอร์เน็ตของตัวใดตัวหนึ่งดันหลุด หรือสัญญาณกระตุก ทำให้สัญญาณ 1 ตัว หลุดไป ภาพกับเสียงเราจะไม่หาย แต่การที่ภาพและเสียงไม่หายจากการที่สัญญาณหนึ่งตัวหลุดไปนั้น ก็ไม่ได้แปลว่าคุณภาพของภาพและเสียงจะเหมือนเดิม คุณภาพของภาพอาจจะมีดรอปลงไปเล็กน้อย แค่เสี้ยววินาที ยกตัวอย่างเช่น จากเดิมเราส่งไปที่  Bitrate 6,000 แต่พอสัญญาณหลุดไป 1 ตัว Bitrate อาจจะหายไป 1,000-2,000 แต่ว่าภาพและเสียงก็ไม่ได้ดรอปไปจนเหลือ 0 ภาพรวม Bitrate ก็จะอยู่ที่ 4,000 แต่ถึงแม้ Bitrate จะอยู่ที่ 4,000 ตัวสัญญาณที่ยังทำงานอยู่ 3 ตัวที่เหลือ หลังจากที่ 1 ใน 4 ที่หลุดไป ภายใน 3-5 วิ ตัวสัญญาณ 3 ตัวที่เหลือ ก็จะค่อยๆดัน Bitrate ขึ้นมา แทนที่จากเดิมจะส่งแค่ตัวละ 1,000 Bitrate กลับกลายเป็นว่า ก็จะส่งตัวละ 2,000 กันเลย และสุดท้าย  Bitrate ก็จะกลับมาที่ 6,000 ต่อให้มี 3 ซิม  ก็จะทำงานที่  6,000 หรือถ้าหากระหว่างทำงานอีกตัวนึงก็ดันดับ เหลือแค่ 2 ตัว คุณภาพ Bitrate จาก 6,000 อาจจะดรอปลงมาที่ 3,000 ทำให้ภาพอาจจะดรอปไป 2 – 3 วินาที แต่อีก 2 ตัวที่เหลือก็จะดันตัวเองขึ้นมา ทำให้สุดท้ายแล้ว ภาพงานที่เราถ่ายทอดสดออกไปนั้นก็กลับมามีคุณภาพเหมือนเดิมครับ

    หรือแม้กระทั่งต่อเหลือแค่ ซิมเดียว การทำงานของ LRT ก็จะสามารถดันการทำงานได้ถึง 6,000 Bitrate แต่ก็มักจะมีคำถามตามมาว่าถ้าแค่ 1 ซิม แล้วสามารถทำได้ถึง 6,000 Bitrate เราจะมีถึง 4ซิม ไปทำไม?

    โดยตามหลักการเวลาเรา Test Speed ความเร็วอินเตอร์เน็ตที่จะทำงานนั้น เราจะใช้เวลาเทสแค่ 1-2 นาที ก็จะได้ภาพรวมความเร็วของสัญญาณอินเตอร์เตอร์เน็ตมาแล้ว แต่สุดท้ายการทำงานจริงเราใช้งานระยะยาว อาจจะ1-2 ชั่วโมง หรือจะ 5-8 หรือแม้กระทั่ง 24 ชั่วโมง เพราะฉะนั้น Internet Speed ก็จะมีขึ้นมีลงอยู่ตลอดการทำงาน ถ้าหากเราใช้แค่ซิมเดียว ไม่มีซิมอื่นมาสำรอง หากซิมตัวนั้นหลุดไป อาจจะทำให้การส่งภาพและเสียงของเราสะดุดแน่ๆ แต่ในทางกลับกันหากเราใช้ 4 ซิม ซึ่งในช่วงเวลาการทำงานส่งภาพเสียงแต่ละซิมนั้นสัญญาณก็จะมีขึ้นมีลงช่วยกันดันสัญญาณ ท้ายที่สุดแล้วภาพรวม Performance ของทั้ง 4 ซิมก็จะทะยานไปถึงคุณภาพ Bitrate ที่เราต้องการได้นั่นเองครับ

สรุปข้อดี ของ LRT

    ถึงแม้ตัว LiveU ที่เราใช้จะใส่ซิมได้ 4 ซิมก็จริง แต่หากมีเหตุการณ์ที่ซิม 1 ตัวนั้นไม่ทำงาน หรือสัญญาณไม่วิ่ง หรือแม้กระทั่งลืมใส่ซิม ในส่วนนี้เราก็ไม่ต้องกังวล เพราะเราสามารถที่จะดึงซิมออกมารีเชค แล้วก็ Set Up และเสียบเข้าไปใหม่ได้เลยทันที โดยที่ไม่ต้องกังวลว่าหากเครื่องทำงานไปแล้ว หรือระหว่างทำงาน ห้ามไปแตะไปจับมัน ซึ่งไม่ใช่ครับ เราสามารถ Set Up ได้เลย ณ ขณะนั้น อย่างเช่นในงานนั้น เราใช้อยู่ 3 ซิม พอไปถึงสถานที่ที่หนึ่งอาจจะเป็นโลเคชั่นหลักในการส่งภาพของเรา ซึ่งแน่นอนว่ามันมี Wifi เพิ่ม เราก็สามารถไป Set Up เพิ่มให้ Live  ของเรานั้นใช้ Wifi  ได้ LRT ก็จะจัดการรวบรวมสัญญาณมาเป็น 1 ใน Channel ในการส่งภาพและเสียง ทำให้จากตอนแรกมี 3 กลายเป็น 4 นั่นเองครับ

การมาของ LRT ส่งผลอย่างไรกับอุตสาหกรรม ถ่ายทอดสด

    สำหรับโนมอร์เวิร์ค เรามองถึง Reliability หรือความน่าเชื่อถือ ในมุมมองของทีมทำงานถ่ายทอดสด ในยุคนี้ที่มี 5G เป็นช่องทางในการส่งสัญญาณที่กว้างและใหญ่ขึ้น ยกตัวอย่างเช่น ทางทีมงานถ่ายทอดสดที่ใช้ 5G ปริมาณ 1 GB แต่ความเป็นจริงในการ Live สด  เราใช้แค่ 6  Mbps คิดเป็นประมาณ 0.06% ของ 1 GB แสดงว่าโอกาสในการเกิดปัญหาระหว่างถ่ายทอดสดนั้นน้องลง แต่!ในสถานการณ์ที่คนเยอะ อาจมี Effect อยู่เล็กน้อยจากที่มีอยู่ 1 GB คนก็จะแย่งกันใช้ ตัว 0.06% นั้นก็จะเริ่มมีผลคือเกิดการแย่งสัญญาณกัน แต่อย่างที่บอกไปข้างต้นว่าตัว LiveU ที่เราใช้ส่งสัญญาณทั้ง 4 ตัวนั้น เราสามารถใช้ได้หลากหลายค่าย เช่น AIS  True NT แม้กระทั่งสายLAN ของสถานที่ หรือจะเป็น WIFI ของอีกค่ายนึงที่ไม่ใช้ค่ายเดียวกับตัวสายLAN ตามที่เราบอกไปว่า 5G ที่เราใช้อยู่ขณะนั้นอาจจะเป็นของ AIS แต่เรายังมี TRUE หรือ NT อยู่ ซึ่งอาจจะยังไม่ถูกแย่งสัญญาณ เราก็แอบหนีไปใช้ True หรือ NT ได้ก่อน แล้วพอจังหวะที่ True คนแย่งกันเลยทำให้ AIS มีช่องว่าง ระบบ LRT ก็จะแอบเติมความเร็วอินเตอร์เน็ต แบบอัตโนมัติ เพราะฉะนั้นในมุมมองของทีมถ่ายทอดสดนั้นค่อนข้างสบายใจ ลดความกังวลไปได้ เพราะการทำงานถ่ายทอดสด เราต้องเตรียมการค่อนข้างเยอะในการทำงานหลักของเรา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคิว Graphic กล้อง คิวพิธีกร รวมถึงเรื่องเสียงเรื่องภาพต่างๆล้วนเป็นสิ่งที่ต้องกังวน รวมถึงอินเตอร์เน็ต  การส่งภาพและเสียงไปยัง Channel  ของผู้รับชม ก็เป็นหนึ่งในเรื่องที่ต้องกังวล แต่พอ ณ ปัจจุบัน มี LRT ใน LiveU เข้ามา มันทำให้คลายความกังวลไปส่วนหนึ่ง พอกังวลสิ่งหนึ่งหมดไป เราก็จะสามารถทำงานส่วนอื่นได้มากขึ้นครับ

LRT สำคัญอย่างไรกับงาน ถ่ายทอดสด

    พอเทคโนโลยี LRT ของ LiveU มันมีความเสถียรและความหลากหลายใน ระบบส่งสัญญาณภาพ ทำให้งานบางงานที่เราทำ อย่างเช่น งาน Sport Outdoor การถ่ายทอดสดงานกีฬาต่างๆ นั้น LRT ทำให้การส่งภาพของเรา ง่ายมากขึ้น สบายใจมากขึ้น เพราะว่า คำว่า Outdoor มันจะมีแค่ตากล้อง และ Live U อยู่ด้วยกันตามจุดต่างๆของงาน  ซึ่งจะไม่ได้มีช่างเทคนิคหรือคนที่คอยช่วยเหลือ คอยดึงซิมออกซิมเข้า แต่ถ้าหากสมมติมีปัญหา เกิดขึ้นกับ LiveU ช่างภาพจะสามารถปิดและเปิด LiveU ใหม่ หรือจะดึงซิมการ์ดเข้าออกด้วยตัวเองได้เลย และทุกอย่างก็จะกลับมาทำงานได้ราบรื่นเหมือนเดิม ซึ่งในมุมมองของคนทำงานด้านการถ่ายทอดสดมันคือความง่าย สะดวก และสบายใจในการทำงานนั่นเองครับ

งานถ่ายทอดสดประเภทไหนที่เหมาะกับ LRT

    หากถามว่างานถ่ายทอดสดประเทภไหนที่เหมาะกับ LRT ทางโนมอร์เวิร์คเราจะตอบว่าทุกงานครับ ไม่ว่าจะเป็นงานEvent งานเปิดตัวสินค้า งานกีฬา Indoor/ Outdoor ไลฟ์สดในสถานที่ หรือ ไลฟ์สดนอกสถานที่ ทั้งแบบกล้องอยู่นิ่งและกล้องเคลื่อนที่ ล้วนต้องใช้ LRT จาก LiveU

ตัวอย่างงานที่ใช้ LiveU

Thailand Doi Inthanon By UTMB

       สำหรับงาน Thailand Doi Inthanon By UTMB ที่ทางทีมโนมอร์เวิร์คเราได้ทำนั้น ถือเป็นอีกหนึ่งงานที่ท้าทายเป็นอย่างมากเพราะการถ่ายทอดสด งานกีฬา Outdoor สิ่งที่เราต้องระวังมากคือเรื่องของสัญญาณอินเตอร์เน็ต เนื่องจากในหลายจุดของบริเวณพื้นที่นั้นๆไม่มีสัญญาณ หรือสัญญาณไม่ดี ซึ่งวิธีการแก้ไขปัญหาในจุดนี้เบื้องต้น ในช่วงเตรียมงานเราได้ติดต่อผู้ให้บริการเครือข่ายสัญญาณอินเตอร์เน็ต อย่าง AIS , True นำรถขยายสัญญาณมาติดตั้งบริเวณที่ไร้สัญญาณ เพื่อให้ส่งสัญญาณภาพและเสียงออกไปได้มากที่สุด

Central The Great Chinese New Year 2023

    ในส่วนของงาน Central The Great Chinese New Year 2023 นั้น สิ่งที่ทางทีมถ่ายทอดสดของโนมอร์เวิร์ค ต้องระวังเรื่องของ การส่งสัญญาณภาพ เพราะเราใช้กล้อง 2 ตัว ในการส่งภาพไปยัง Cloud Server และดึงภาพกลับลงมาเพื่อ Switching สิ่งที่จะเจอคือภาพอาจจะ Delay เสียงหรือภาพอาจจะไม่ค่อยตรงกัน แต่ข้อดีของ LiveU คือ ต่อให้ภาพและเสียง Delay ทำให้คนดูรู้สึกใกล้เคียงกันมาก แต่ว่าหากทำไปเป็นระยะเวลานาน อาจจะทำให้ภาพและเสียง Delay เห็นได้ชัด โดยการแก้ไขของเราคือ Reset ระบบเพื่อให้ภาพและเสียงตรงกัน หรือ Delay ให้น้อยครับ

    สรุปภาพรวมของทั้ง 2 งานที่เรายกตัวอย่างนำมาเล่าให้ฟังคือ ระบบการทำงานของ LiveU นั้นคล้ายๆกัน แต่สิ่งที่แตกต่างกันเล็กน้อยคือถ้าเป็นงาน Thailand Doi Inthanon By UTMB อาจจะกังวลในส่วนของสัญญาณ เพราะเป็นงาน ไลฟ์สดนอกสถานที่ แต่ไม่กังวลในส่วนของเรื่องภาพ Delay เพราะเราใช้กล้องเดียวในการส่งภาพและเสียง แต่ในทางกลับกัน สำหรับงาน Central The Great Chinese New Year 2023 สิ่งที่ทางเรากังวลคือเรื่องของระบบส่งสัญญาณภาพ และเสียง Delay เพราะในหนึ่งงานเราใช้กล้องมากกว่า 1 ตัว จึงจะทำให้ภาพและเสียง Delay เล็กน้อย แต่สิ่งที่ไม่กังวลเลยคือเรื่องของสัญญาณ เพราะงานนั้นจัดอยู่ในห้างสรรพสินค้าที่มีผู้คนเยอะหรือบริเวณที่แออัด ทำให้ไม่มีปัญหาเรื่องสัญญาณระบบอินเตอร์เน็ตนั่นเองครับ

มองหาผู้ให้บริการถ่ายทอดสดให้งานของคุณ

No More Work เรามีความตั้งใจในการสร้างสรรค์ผลงานเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าและสร้างคุณค่าให้กับงานนั้นๆ
เรามีบริการเกี่ยวกับการผลิตสื่อออนไลน์ทุกรูปแบบ(Online Production) ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายทอดสด Video and Live Streaming, Unreal Engine, Virtual Event, Project Management, Creative Design, Website Services, Internet Solution รวมไปถึงการดูแลจัดการ KOL / Influencer ทุกระดับ
.
สนใจติดต่อที่ >> work@nomorework.co หรือโทร 02-121-4361 / 095-465-6452

Credit to LiveU TV Solution 

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า